วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการล้างหน้าให้ถูกวิธี...

บทความน่าสนใจเลยเอามาให้อ่านกันครับ...

---------------------------------------------

เทคนิคการล้างหน้าที่ถูกวิธีเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่ง ที่จะให้เพื่อนๆ ผิวสวย แต่เราจะรู้ได้งัยว่าควรจะล้างหน้าวันละกี่รอบ? รอบละกี่ครั้ง? ควรล้างแบบไหนถูซ้ายไปขวา หรือล่างขึ้นบน? ล้างด้วยสบู่หรือเจล หรือโฟมล้างหน้ากันดี? เรามีคำตอบให้เพื่อนๆ เพื่อหน้าใสอยู่ตรงนี้แล้วค่ะ

เริ่มจากการล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะ คือเวลาตื่นนอนตอนเช้า และอาบน้ำตอนเย็นเราไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ นอกซะจากกรณีที่ผิวของเพื่อนๆสกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา ทำสวน ทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือคุมงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้

และที่สำคัญ อย่าใช้น้ำอุ่น หรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะ เพราะมันจะทำให้ผิวแห้ง และแลดูเหี่ยวๆอีกต่างหาก เวลาล้างก็ขอแค่ใช้มือลูบไล้ใบหน้าแบบเบาๆ ไม่เช็ด ไม่ถู ถ้าใครใช้คลีนเซอร์หรือเอ็กซเทอร์นอลเช็ดหน้ากันอยู่ ในการตบท้ายเพื่อให้ดูเกลี้ยงเกลา คงต้องเลิกนะคะ
เพราะจะทำให้ผิวถลอกลอกได้

เพื่อนๆ ทราบไหมว่าชั้นขี้ไคลก็ คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคล ทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่ใครๆ เข้าใจผิดนะคะ หากแต่เป็นเกราะที่คอย
คุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรค และสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิว

หากถ้าเพื่อนๆ เช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของคุณก็ดั่งปราศจากเกราะ ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อยๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า
มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางโดนอะไรนิด
อะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่น หรือคันได้

วิธีแก้ผิวแพ้ง่าย ให้ใช้มาตรการ “ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด” แล้วจะหายเองค่ะ แต่ถ้าเพื่อนๆ แต่งหน้า
มีเครื่องสำอางรองพื้นเต็มใบหน้า หากเครื่องสำอางไม่ได้กันน้ำ เพื่อนๆ ก็สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อนๆ ของเบบี้ หรือของผู้ใหญ่ก็ใช้ได้ เลือกประเภทที่ไม่มีฟองไม่มีน้ำหอมจะได้ไม่ระคายเคืองขึ้นมาอีก

เวลาล้างก็แค่เอาน้ำลูบไล้อย่างเบาๆ มือ โดยใช้เจลใส หรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้ ให้ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ

หลังล้างหน้าให้ซับเบาๆ ไม่เช็ด ไม่ถู ผิวจะได้ไม่หยาบกร้าน และไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว เพื่อนๆ รู้สึกลื่นๆ เหมือนไม่เกลี้ยง ซับหน้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูไม่ต้องไปวิตกจริตว่ามันจะลงไปอุดตันทำให้เกิดสิวหรอกนะคะ ถ้าจะเป็นสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดจากฮอร์โมนเพศในตัวเพื่อนๆ เอง

โดยธรรมชาติ ผิวหนังกำพร้าของคนเราจะหลุดลอกออกมาเองทุกวัน ก็จะพาเอาแป้ง เอาฝุ่นให้หลุดลอกออกมาด้วย ไม่ต้องออกแรงถู ไม่ต้องเสียเงินซื้อคลีนเซอร์ โทนเนอร์ ชุดล้างหน้าแพงๆ มาใช้หรอกนะคะ เสียดายเงิน สงสารประเทศไทยกันบ้าง ต้องเสียเงินออกนอกประเทศไปกับเครื่องสำอางค์แพงๆ เหล่านี้

เพื่อนๆ จะใช้สบู่เหลวของเด็กขวดละ 70 บาท หรือชุดล้างหน้าสุดหรูยี่ห้อดังชุดละ 7,000 บาท หน้าก็สะอาดใสได้เท่ากันค่ะ ที่เคยผิดพลาดกันมานานก็ถือว่าแล้วกันไป ถือเป็นความผิดโดยสุจริตก็แล้วกันนะคะ

โดยสรุปแล้ว ให้ล้างหน้าเบาๆ เช้าครั้งเย็นหน ใช้สบู่เหลว เจลใส หรือโฟมไร้ฟอง ลูบไล้เบาๆ เอาแค่พอลื่นๆ ไม่ต้องสะอาดเอี่ยมอ่องนะคะ แล้วก็ซับหน้าเบาๆ ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องถูอะไรที่เคยใช้เช็ดๆ ถูๆ ผิวหน้า กลับบ้านไปโยนทิ้งได้เลยค่ะ

ที่มา : พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน และ

เทคนิคการล้างหน้าให้ถูกวิธี...

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

วิธีทำให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

บทความน่าสนใจเลยเอามาให้อ่านกันครับ...

---------------------------------------------

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

วิธีช่วยเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้ชีวิต

คนส่วนมากมักอ้างว่ายุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย รวมถึงดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ดีไหม เพราะแท้จริงแล้วคุณดูแลตัวเองได้ในเวลาอันน้อยนิด

ผลการศึกษาพบว่า คนเราสามารถมีความสุขในชีวิตมากขึ้นเพียงแค่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพียงเลือกทำตามคำแนะนำ ต่อไปนี้แค่สัปดาห์ละ ๒ - ๓ ข้อ เรารับรองว่า คุณจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเครียดน้อยลง และมีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น

ดื่มน้ำทุกชั่วโมง เวลาทำงานเรามักยุ่งจนลืมดื่มน้ำ ทางแก้คือ วางแก้วน้ำหรือขวดน้ำไว้ใกล้มือแล้วจิบบ่อยๆ พบว่าหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนน้ำหนักตัวลดลงแม้แค่ ๒ เปอร์เซ็นต์ จะมีผลให้ให้ความจำระยะสั้นและทักษะการแก้ปัญหาลดลง เมื่อไรที่รู้สึกกระหายน้ำ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าขาดน้ำแล้ว

ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ต้องเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจด้วยนะ เพราะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนรับรู้ความสุข หากวันไหนรู้สึกเศร้าจนยิ้มไม่ออก โทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่มุขเยอะหรืออยู่ใกล้คนอารมณ์ดีเข้าไว้ จะทำให้คุณยิ้มได้ เพราะคนเรามีแนวโน้มเลียนแบบอารมณ์ของคนที่พูดคุยด้วย

เช็คท่าทางของตัวเอง ขณะนั่งทำงานเรามักโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนยืดขึ้นจนอาจบาดเจ็บได้ ทางที่ดี ทุก ๒ - ๓ ชั่งโมง คุณควรเช็คท่านั่งของตัวเองเพื่อบุคลิกและสุขภาพที่ดี ท่าที่เหมาะสมคือ นั่งให้สะโพกและไหล่อยู่ในแนวตรงกัน ไม่ต้องถึงกับหลังตรงมากเกินไป ต้นขาขนานพื้น โดยให้ข้อเท้าอยู่ล้ำหัวเข่าออกไปเล็กน้อย
หากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อวันละ ๒ - ๓ ครั้ง โดยนั่งหลังตรง กางแขนทั้งสองขึ้นด้านข้างระดับไหล่ งอศอกให้มือทั้งสองแตะศีรษะ แล้วบีบสะบักหลังเข้าหากัน ค้างไว้ ๓ วินาที ทำซ้ำ ๓ ครั้ง

คิดจินตนาการเรื่องดีๆ ก่อนนอน ใช้เวลาก่อนแค่ ๒ - ๓ นาที วาดฝันเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ทริปสุดสนุกช่วงพักร้อน ดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับหวานใจ หรือคำชมจากเจ้านาย เทคนิคนี้ช่วยให้หลับได้เร็วและสนิทมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและสมาธิ

ผูกมิตรเพื่อนใหม ่ แม้คุณจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ว่ากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานหรือแม้แต่กับแม่บ้าน ก็ไม่ควรละเลยการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ ด้วย เพราะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจมากขึ้นและเปิดโลกทัศน์ของตนเอง ที่สำคัญคือ เป็นผลดีต่อหัวใจ พบว่าคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมีความดันโลหิตต่ำกว่าคนไม่เข้าสังคม ซึ่งมักจัดการความเครียดด้วยวิธีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

ใกล้ชิดธรรมชาติ จะลงมือพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ หรือแค่เดินชมนกชมไม้ก็ให้ประโยชน์ทั้งนั้น ผลการศึกษาในอังกฤษพบว่า หากได้สูดกลิ่นไอดินจะทำให้สมองหลั่งสารความสุขชื่อ “เซโรโทนิน” (serotonin) ออกมามากขึ้น
ถ้าบ้านของคุณมีพื้นที่ไม่มากนักปลูกไม้ประดับหรือสมุนไพรไว้ในบ้านก็ได้ นอกจากสร้างความสดชื่นแล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารจานสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์อีกต่างหาก


ฟังเพลงขณะเดินทาง ฟังดนตรีจังหวะสบายๆ บรรเทาความเครียดได้ เพราะช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ป้องกันไม่ให้ระดับฮอร์โมนความเครียด ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงจนเกินไป ยิ่งร้องตามไปด้วยยิ่งส่งผลดี พบว่า การร้องเพลงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอล (cortisol) แถมยังเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ นอกจากนี้ขณะร้องเพลงเราจะสูดหายใจลึกขึ้น จึงเพิ่มปริมาณออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างแอนติบอดีต่อสู้โรคหวัด

กินอาโวคาโด จะกินสดๆ หรือกินเมนูที่มีส่วนผสมของอาโวคาโดก็ดีต่อสุขถาพทั้งสิ้น เพราะในอาโวคาโดมีสารซึ่งช่วยฆ่าเซลล์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และปกป้องเซลล์ดีไม่ให้กลายเป็นเนื้องอก จึงเป็นปราการป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้อาโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล รวมถึงมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจอย่างวิตามินซีและอี เพื่อรสชาติอร่อยแปลกใหม่ ลองใส่อาโวคาโดในสลัดแทนชีสได้รสชาติหอมมันไม่แพ้กัน

ตุนอาหารมีประโยชน์ ผู้หญิงที่ทำอาหารกินเองบ่อยๆ มีแนวโน้มกินผักและผลไม้มากขึ้น และรับไขมันเข้าสู่ร่างกายน้อยลง เมื่อเทียบกับคนที่มักกินตามร้านหรือซื้อมากิน นั่นเพราะคุณสามารถเลือกส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมาใส่ในจานโปรดของคุณได้ ทุกสัปดาห์ ควรซื้อผักผลไม้สดและเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างเนื้อปลามาเก็บไว้ในตู้เย็น และเดือนละครั้ง หาอาหารแห้งมาตุนไว้ สิ่งที่ควรซื้อติดบ้าน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ น้ำมันมะกอก ปลาทูน่ากระป๋อง ซอสมะเขือเทศ เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งของกินเล่น ประเภทผลไม้อบแห้งและถั่วต่างๆ

ทำความสะอาดบ้าน บ้านช่องที่สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค นอกจากดีต่อสุขภาพกาย เพราะช่วยป้องกันคุณจาดโรคหวัดภูมิแพ้ และหอบหืดแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ดีด้วย พบว่า ๙๘ เปอร์เซนต็ของคนทั่วไปรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเมื่อบ้านสะอาด ดังนั้นเพียงจัดบ้านให้สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ก็ช่วยลดเครียดได้แล้ว

พักการดูโทรทัศน์บ้าง จะทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเลิกดูโทรทัศน์ไปเลย เพียงเลือกดูเฉพาะรายการที่อยากดูจริงๆ เท่านั้น พบว่าคนที่ไม่เปิดโทรทัศน์นานสองสัปดาห์มีแนวโน้มเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า จัดสรรหนึ่งวันในสัปดาห์ให้เป็น “วันปลอดโทรทัศน์” แล้วใช้เวลากับตนเอง ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงมากขึ้น โดยชวนกันไปออกกำลังกาย กินมื้อเย็น ไปเดินห้าง หรืออาจฉกฉวยช่วงเวลานี้ทำสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการขลุกอยู่กับหนังสือเล่มโปรด หรือขัดสีฉวีวรรณครั้งใหญ่ นอกจากรู้สึกผ่อนคลาย ผิวยังสวยขึ้นด้วย

วัดรอบเอว ไม่ใช่เพื่อรูปร่างที่ดูดีเท่านั้น แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย หากคุณมีรอบเอว ๓๕ นิ้วหรือเกินกว่านั้น แสดงว่าคุณมีไขมันหน้าท้องมากเกินไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง
เริ่มวัดรอบเอวเดือนละครั้งตั้งแต่วันนี้ หากพบว่ามีขนาดเกินมาตรฐาน ควรหาหนทางลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เช่น ออกกำลังกาย ลดปริมาณอาหาร กินผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำ ฯลฯ


อยู่ใกล้ดอกไม้ การเห็นดอกไม้สดใกล้ๆ ตัว ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นและวิตกกังวลน้อยลง การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เพียงได้ชมดอกไม้ชั่วครู่ในตอนเช้าช่วยให้สดชื่นไปตลอดทั้งวัน นอกจากในบ้านแล้ว ควรหาดอกไม้มาประดับแจกันบนโต๊ะทำงานด้วย หากไม่ชอบดอกไม้ เปลี่ยนเป็นไม้กระถางต้นเล็กๆ ก็ได้ ทำให้คุณหายใจสะดวกขึ้น เพราะช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ใส่สีสันสดใส การเปลี่ยนสีสันเสื้อผ้าที่ใส่ทำให้คุณอ่อนเยาว์ลงได้ ถ้าใช้สีที่เหมาะเหม็งจะช่วยลบถุงพองใต้ตาไปได้อย่างไม่นาเชื่อ ลองเอาสีสดใสที่ชอบทาบใบหน้าดูสิว่าถุงนั้นหายไปหรือไม่

เรียนรู้จากเด็ก เวลาเด็กเล็กๆ ละเล่นกันมักเน้นทีละอย่างและหมกมุ่นกับสิ่งนั้น ลองปล่อยตัวไปกับการละเล่นแบบเด็กๆ ดูบ้าง (ยืมลูกเพื่อนมาก็ได้) ปล่อยตัวเต็มที่แล้วจะมีพฤติกรรมขี้เล่นมากขึ้น จำไว้ว่าเด็กไม่ได้ลอง พวกแกลุยไปเลย ถ้าคุณผ่อนคลายกับการเป็นตัวตนของตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องทำท่าเป็นเด็ก เพราะมันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

ดื่มให้อ่อนเยาว์ ไม่ได้หมายถึงแอลกฮอล์ แต่หมายถึงหมายถึงเครื่องดื่มโปรตีนที่พึงดื่ม อาศัยเครื่องปั่นก็ปรุงรสอร่อยได้ เช่น สมูธตี้เบอร์รีหรือมะม่วงผสมแครทซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกอ่อนเยาว์ชั่วนิรันดร์กาล เพราะมีส่วนผสมฟื้นฟูร่างกายสูง ผสมบลูเบอร์รีกับกล้วยและนมกับน้ำผึ้งปั่นเข้าด้วยกันก็ได้

กำจัดสารพิษ ขั้นตอนสำคัญในการผกผันกระบวนการความแก่คือกำจัดสารพิษจากชีวิตทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์อันไม่น่าพึงพอใจ สัมพันธ์ย่ำแย่ อาหารไม่ดีต่อสุขภาพ หรืออารมณ์ในทางลบซึ่งดูดความมีชีวิตไปจากตัวคุณ ดูสิว่าอะไรเป็นพิษแล้วรีบกำจัดมันซะ

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

สารต่อต้านอนุมูลอิสระ

ความสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ

การได้รับสารอาหารที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีและภูมิคุ้มกันที่ดี

แคโรทีนอยด์ (แหล่งกำเนิดของวิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุ เช่น สังกะสี และซีลิเนียม สามารถช่วยทำให้ลูกของคุณมีสุขภาพที่ดี น้ำนมแม่นั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ลูกของคุณได้รับสารอาหารเหล่านั้นเพื่อส่งเสริมเจริญเติบโตและพัฒนาการ

สารต้านอนุมูลอิสระ คือ อะไร ?

สารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายจะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกฮอลล์ รังสี UV เอ็กซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ DNAs ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็งและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สารอาหารต้านอนุมูลอิสระ

ร่างกายมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินที่ร่างกายได้รับที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีนอยด์ (แหล่งกำเนิดของวิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ซิลิเนียม และแมงกานีส โดยสารอาหารเหล่านี้จะทำหน้าที่ร่วมกับเอ็นไซม์ในร่างกายเพื่อป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

แคโรทีนอยด์

แคโรทีนอยด์ (แหล่งกำเนิดของวิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี และซิลิเนียมทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้แคโรทีนอยด์ยังมีบทบาทในการเสริมภูมิคุ้มกันโรค

วิตามินเอ มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสมดุลของสุขภาพผิวหนัง เนื้อเยื่อ น้ำเมือก ต่อมไร้ท่อ และเนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินซี

วิตามินซี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านเชื้อโรค และมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งด้วย

วิตามินอี

วิตามินอี มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

ซิลิเนียม

ซิลิเนียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็น มีหน้าที่สำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดี สร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และยังเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วงวัยทารกและวัยเด็กมีความต้องการซิลิเนียม เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว

ค่า RDA ของซิลิเนียมสำหรับวัยเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน คือ 10 ไมโครกรัม/วัน และสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 12 เดือน คือ 15 ไมโครกรัม/วัน น้ำนมแม่เป็นแหล่งกำเนิดที่ดีของซิลิเนียม ปริมาณซิลิเนียมที่มีในนมแม่จะขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารของแม่แหล่งอาหารที่มีซิลิเนียม คือ เนื้อสัตว์ ปลา และธัญพืช

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ SAL F+ APP

ที่มา: http://www.wyethnutrition.co.th/$$Antioxidant%20Nutrients.html?menu_id=215&menu_item_id=4


คาร์บอนที่เป็นแม่เหล็ก

บทความดีๆ จากวิชาการดอทคอมครับ

พอดีมีเวลาอ่านหนังสือบ้างก็เลยได้อ่านรายงานที่ลงในวารสาร Nature ฉบับล่าสุดทางอินเตอร์เนต (18 October 2001, Vol. 413, pages 690 and 716) พอดีมีเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งเลยอยากจะนำมาเสนอน่ะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ fullerene (buckyball, C60) ที่มีสมบัติความเป็นแม่เหล็กที่อุณหภูมิห้อง การค้นพบในครั้งนี้โดย Makarova และผู้ร่วมงานแสดงให้เห็นว่าสารประกอบอินทรีย์สามารถแสดงสมบัติความเป็นแม่เหล็กได้ จริง ๆ แล้วการแสดงสมบัติความเป็นแม่เหล็กของสารอินทรีย์นี้ได้มีการค้นพบมาหลายปีแล้ว แต่ปรากฎว่าสมบัติความเป็นแม่เหล็กของสารอินทรีย์เหล่านั้นเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ๆ (0.65-65 K) อุณหภูมีที่ทำให้มีการเรียงตัวกันทางแม่เหล็ก (magnetic ordering) ที่ทำให้สารประกอบเหล่านี้แสดงสมบัติความเป็นแม่เหล็กได้นี้เรียกว่า Tc (critical temperature) ครับ ซึ่งนี้เป็น intrinsic properties ของสารประกอบนั้น ๆ และคำอธิบายถึงตัวแปรต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อ Tc ก็ค่อนข้างซับซ้อน แต่ไปหาดูในรายละเอียดได้ครับในหนังสีอประเภท magnetism/molecular magnetism ส่วนสารประกอบในรายงานที่กล่าวถึงนี่เป็นสารประกอบ phase ใหม่ของ fullerene โดยมีการจัดเรียงโครงร่างผลึกเป็นแบบ rhombohedral โดยนักวิจัยเชื่อว่า phase ใหม่นี้เป็น phase ที่เกิดจาก fullerene เกิด polymerization ขึ้น โดยเชื่อว่า polymerized fullerene ที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากการเตรียมสารประกอบที่อุณหภูมิและความดันสูง Tc ของสารประกอบ rhombohedral fullerene นี้สูงถึง 500 K ทีเดียว นั่นก็คือว่าที่อุณหภูมิห้องนั้น สารประกอบชนิดนี้ก็แสดงสมบัติความเป็นแม่เหล็กแล้ว ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ตัวแรกที่แสดงสมบัติเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามการค้นคว้าวิจัยนี้ก็ทำให้เกิดคำถามใหม่ ๆ ตามมาอันเนื่องมาจากผลการทดลองเช่น ถึงแม้สารประกอบอินทรีย์นี้จะเป็นแม่เหล็กที่อุณหภูมิห้อง แต่ว่าขนาดของความเป็นแม่เหล็ก (spontaneous magnetization) นี้มีขนาดเล็กมาก พิจารณาจาก remanent magnetization plot ซึ่งการนำไปใช้ประยุกต์ต่าง ๆ ก็อาจจะยังไม่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ magnetic moments (spins) อยู่ที่ไหน เพราะในการที่สารมีสมบัติความเป็นแม่เหล็ก สารประกอบนั้น ๆ ต้องมี spins หรือ unpaired electrons ที่เรียงตัวกันก่อให้เกิดเป็นแม่เหล็กนั่นเอง (ferromagnetic coupling) ดังนั้นถ้าไม่มี moments หรือ ordered spins สมบัติความเป็นแม่เหล็กก็จะไม่เกิดขึ้น เช่น fullerene ในสภาวะปกติที่มีโครงผลึกแบบ cubic นั้นก็ไม่แสดงสมบัติความเป็นแม่เหล็กแต่อย่างใด (diamagnetic) คำอธิบายที่นักวิจัยอ้างถึงก็คือ ในโครงตะข่ายสองมิติของ rhombohedral fullerene นี้อาจมี defects เกิดขึ้น ทำให้มี unpaired electrons เกิดขึ้นซึ่งอาจเป็นจุดกำเนิดของ magnetic moment ได้ หรือว่าอาจจะมีการเกิด polymerization ที่ใช้อิเลคตรอนเพียงตัวเดียวในโครงตาข่ายนี้ ดังนั้นอิเลคตรอนตัวที่เหลือซึ่งปกติจะ couple กับอิเลคตรอนอีกตัวเกิดเป็นพันธะโควาเลนต์ขึ้นมานั้นก็อาจเป็นจุดกำเนิดของ moment ได้เช่นกัน คำตอบยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ดังนั้นก็คงต้องมีการทดลองเพื่อหาคำอธิบายกันต่อไปว่าทำไม fullerene ที่มีโครงผลึกแบบ rhombohedral นี้จึงแสดงสมบัติความเป็นแม่เหล็กได้ที่อุณหภูมิห้อง งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นได้ดีทีเดียวว่าการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับแม่เหล็กชนิดใหม่จากสารประกอบทางเคมีชนิดต่าง ๆ เพื่อที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นกำลังเป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่างานวิจัยทางเคมีสามารถเอื้อประโยชน์และขยายขอบเขตของการค้นคว้าทางวัสดุและเทคโนโลยีในปัจจุบันอีกด้วย อ้อใน Nature ฉบับเดียวกันนี้เองก็มีรายงานเกี่ยวกับเรี่อง packaging DNA by bacteriophage portal motor ด้วยครับ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกันแต่ผมก็ไม่มีความรู้มากพอ ใครที่พอทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้และหา Nature อ่านได้จะกรุณาช่วยขยายความให้ผู้อ่านในห้องเด็กวิทย์อ่านกันก็คงจะดีนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของ Glutathione

ประโยชน์ของ Glutathione article

glutathione (กลูตาไทโอน) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid กลูตาไธโอนเป็นสารแอนซิแดนท์ชนิดละลายน้ำได้ที่สำคัญที่ร่างกายสร้างขึ้น และเป็นพื้นฐานสำหรับสารแอนติออกซิแดนท์อื่นๆที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมทั้งกลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส สารประกอบกลูตาไธโอนช่วยปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ ซึ่งร่างกายของเราจะผลิตมากขึ้นหากได้รับสารพิษเข้าไปเช่นจากน้ำดื่ม ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ อาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำลายเซลล์ร่างกายเราและระบบร่างกาย เนื่องจากกลูตาไธโอนเป็นสารที่มีความสำคัญจึงได้มีการติดตามผลการรับประทานสารชนิดนี้เป็นอาหารเสริมเป็นเวลาหลายปีโดยตั้งคำถามเกี่ยวกับการดูดซึมของสารอาหารชนิดนี้ นักชีววิทยาด้านเซลหลายคนเชื่อว่ากลูตาไธโอนถูกย่อยสลายให้เป็นส่วนประกอบย่อยที่มีคุณสมบัติป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน(ได้แก่กลูตาเมท ซิสเตอีน และกลัยซีน) ในระหว่างการย่อยสลาย แต่กลูตาไธโอนในรูปที่ยังไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนนี้เมื่อทำงานร่วมกับสารแอนไธไซยานิดีนส์(grape seed extracts) ที่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์แล้ว ปรากฏว่าร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายและเป็นประโยชน์ในทางการรักษาโรค
กลูต้าไธโอนได้รับสมญาว่า”หัวหน้าสารต้านอนุมูลอิสระ” มันช่วยให้เรามีสุขภาพดี และชวิตยืนยาว คนที่ต้องสัมผัสกับสารพิษปริมาณมากๆ (ที่เห็นชัดๆก็พวกที่ตั้งใจรับเข้าไปเองเช่น การดื่มเหล้า เบียร์ อัลกอฮอล์)จะมีการใช้กลูต้าไธโอนที่ร่างกายสร้างเองอย่างมาก(ซึ่งบางครั้งไม่เพียงพอ) หากร่างกายไม่มีกลูต้าไธโอนเซลล์จะตายอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความชรา และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึ่งกระตุ้นด้วยอนุมูลอิสระเช่นมะเร็ง

กลูต้าไธโอนมีการใช้อย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ปัจจุบันเราพบว่าเอาไปใช้ลดอาการเมาค้างเช่น แว๊กกี้ แฮงค์ อาหารผิวเพื่อขาวใสเช่น อิมิดีน บลิ๊งค์ ไอไบร้ท์ นูไวท์ คิวมารีน ลูมินัส (ราคาในท้องตลาดมีราคาแพงโดยเฉพาะส่วนผสมที่มีกลูต้าไธโอน 250 มก.) เป็นที่นิยมของดารา นางแบบ นายแบบ อย่างมาก
การรักษาระดับของกลูตาไธโอนในรูปที่ยังไม่ได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนให้เพียงพออาจช่วยชะลอกระบวนการชราและเพิ่มความต้านทานโรคได้เช่นกัน
เป็นสาร Detoxification เปลี่ยนสารพิษให้อยู่ในรูปที่ไม่เป็นพิษ เพื่อขับถ่ายทิ้ง
เร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามิน C และ E และทำให้อยู่ในรูปที่ดูดซึมได้เร็วขึ้น
พบได้ใน ปลา, เนื้อม Asparagus ,อะโวคาโด, วอลนัท
หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
1. Detoxification : กลูตาไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
2. Antioxidant : กลูตาไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ prostaglandin
ผลข้างเคียงในปัจจุบันยังไม่พบผลข้างเคียง
มีเพียงผลข้างเคียงเดียว แต่กลับเป็นผลข้างเคียงพึงประสงค์ของผู้หญิงเอเซียนั่นก็คือ”การที่มีผิวขาวใสขึ้น”
กลูต้าไธโอนทำให้เกิดอะไรกับร่างกายเรา
o ทำให้ผิวขาวขึ้น
o ลดริ้วรอยจุดด่างดำ
o ป้องกันสิวและรอยดำจากสิว
o ลดริ้วรอย จากวัย
o ทำให้ผิวเนียน ใส และเปล่งประกาย

ส่วนหน้าที่ในการเป็นสุดยอดของสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
• อาจช่วยป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งตับ
• ปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ
• ช่วยกำจัดสารนิโคติน
• ช่วยเสริมฤทธิ์การทำงานของตับในการกำจัดสารพิษ
• มีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและใช้ในการรักษามะเร็ง(โดยเฉพาะที่มีการทำงานของตับเสียไป)
• ช่วยเพิ่มปริมาณเชื้ออสุจิ
ระดับของกลูต้าไธโอนที่ต่ำลงพบในกรณี
• • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเสื่อม
• • โรคที่การเสื่อมของระบบสมองและประสาทเช่น multiple sclerosis ,ALS, Alzheimer, and Parkinson's disease
• • ภาวะเป็นหมันในเพศชาย
• • ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
• • โรคหลอดเลือดเสื่อม
• • ต้อกระจก
• • ภาวะที่ได้รับยาเกินขนาด(โดยเฉพาะพาราเซตามอล)
• • มะเร็ง
• • เอดส์
• • แต่มีส่วนช่วยในต้านโรคหัวใจขาเลือด แก่ก่อนวัย โรคเรื้อรังต่างๆ
• • หมายเหตุ : มิได้หมายความว่ากลูต้าไธโอนใช้ในการรักษาโรคเหล่านี้
ใครควรเสริมกลูต้าไธโอน
• คนที่ติดบุหรี่ ดื่มอัลกอฮอล์
• อายุมากกว่า 40 ปี พวกที่ออกกำลังกายมาก เสริมสร้งหุ่น
• ชายที่จำนวนสเปิร์มน้อย ผู้เป็นโรคตับ
• ต้อกระจก ฟื้นจากเคมีบำบัด
• สำผัสสารเคมีฆ่าแมลงเป็นประจำ คนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
• ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
ที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงทั่วไปที่ต้องการในผิวเนียน ใส กระจ่าง (เป็นเหตุผลที่คนเสริมกลูต้าไธโอนมากที่สุด)
ผลข้างเคียง ในปัจจุบันยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆรายงาน และไม่มีรายงานความเป็นพิษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในระยะสั้นหรือระยะยาว ระดับความปลอดภัยจัดเป็น “อาหารเสริม” ไม่ใช่ “สมุนไพร” การผลิตโดยทั่วไปผ่านกระบวนการสังเคราะห์ ผลข้างเคียงที่มีรายงานคือการกินปริมาณสูงติดต่อกันจะทำให้ผิวขาวใสขึ้น
ข้อห้ามใช้ : ยังไม่มีข้อห้าม แต่ไม่แนะนำสำหรับเด็ก สตรีมีครรภ์ และให้นมบุตร (ยังไม่มีการศึกษาเพียงพอแต่ไม่มีรายงานความเป็นพิษในคนกลุ่มนี้)
ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งที่ยังอยู่ในช่วงให้เคมีบำบัด และฉายแสง(การรักษาจะกระตุ้นในเกิดภาวะอนุมูลอิสระเพื่อหวังผลการักษา) แต่มีบางรายงานมีการใช้กลูต้าไธโอนในการรักษาช่วยลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด แต่ไม่ลดฤทธิ์ของการรักษา
ปฏิกิริยากับยาอื่น : ยาจิตเวช haloperidol ,chemotherapeutic drug:cisplatin
กลไกที่ทำให้ผิวขาวของกลูต้าไธโอน
เกิดจากกระบวนการสร้างเมลานิน โดยกลูต้าไธโอนไปลดการสร้างโดยการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส และกระตุ้นให้สร้างฟีโอเมลานิน(สีอ่อนขาวชมพู) มากกว่ายูเมลานิน(เมลานินสีคล้ำ)
ผลของกลูต้าไธโอน ในเรื่องความขาวก็ต้องขึ้นกับสีผิวเดิมของผู้ที่เริ่มกิน หากมีสีผิวอ่อนอยู่แล้วก็เห็นผลไว แต่หากมีสีผิวคล้ำเดิมต้องรอให้ร่างกายสร้างเม็ดสีอ่อนใหม่ และเซลล์ผิวเก่าที่มีสีคล้ำผลัดหมดก่อน หากคล้ำมากอาจใช้เวลาเป็นปี
จากผลการทดลองพบว่าผู้ที่มีผิวสี
• ผิวสีน้ำตาลอ่อน : ใช้เวลาให้ขาวใส ประมาณ 1 - 3 เดือน
• ผิวสีน้ำตาลเข้ม : ใช้เวลาให้ขาวใส ประมาณ 3 - เดือน
• ผิวเข้มมาก : ใช้เวลาให้ขาวใส ประมาณ 6 - 12เดือน
• ผิวดำ(เช่นนิโกร) :ใช้เวลาประมาณ 2 ปีหรือมากกว่า

เมื่อร่างกายได้รับปริมาณที่เหมาะสมจะควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้ผิวหน้าและผิวกาย สวยขาวใส ไร้ริ้วรอยด่างคำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ผิวใต้วงแขน ผิวบริเวณ บิกินี สีผิวริมฝีปากและสีผิวบริเวณหัวนม แลดูจางลง ขาวอมชมพูขึ้น และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำงานร่วมกับวิตามินซี จะช่วยในเรื่องการดูดซึมและต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ที่ผิดปกติ อันเป็นสาเหตุของการเกิดความคล้ำของสีผิว กระ ริ้วรอยโดยช่วยให้ขนาดและความเข้มของรอยหมองคล้ำค่อยๆลดลง คืนความยืดหยุ่น เนียนสวยเป็นธรรมชาติ เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุดของโปรตีนคอลลาเจน และอิลาสติน บำรุงผิวพรรณ ช่วยลดปฏิกิริยาการเพิ่มเม็ดสีผิว เมื่อผิวหนังโดนแสงแดด และลดขนาดและความเข้มของฝ้าโดยไม่มีผลข้างเคียง

ที่มา:
ประโยชน์ของ Glutathione

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

SAL F+APP Essence Review

SAL F+APP Essence Review: Novel Powerful Synergetic Antioxidant

Fullerene, the nanotech material for which its three discovers received the Nobel prize of chemistry in 1997. It shows a high active oxygen erasing effect that it have molecular structure absorbing radical of 125 times in comparison with vitamin C that prevents the occurance of skin problems such as aging and hyperpigmentation. And APPS, a novel vitamin C derivative which can achieve penetration of 10-fold to more than 100 fold more vitamin C into skin and cell for preventing aging of skin, stimulating collagen synthesis, helping brown spots and freckles diminishing and eliminating active oxygen which is produced on exposure to UV.

Key Ingredients and Benefits
  • Fullerene: Radical sponge for absorbing and eliminating radicals on the molecular level, essentially detoxifying the substances to protect skin from bad effects such as aging and melanin incontinence
  • Trisodium ascorbyl palmitate phosphate (APPS): Prevents aging, diminishes freckles and spots and promotes collagen production
  • Hexanidiol: Moisture protection to help for retains daily moisturizer

Source: http://www.skinadvancedlab.com/antioxi.html and Maproud.com

สารอาหารชะลอความเสื่อมชราและต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)

แอนดี้ ออกซิแดนท์ (Antioxidant) คืออะไร

แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) เป็นสารอาหารที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ เช่น ในผัก ผลไม้ และมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Free Radical)

อนุมูลอิสระเป็นส่วนของโมเลกุลซึ่งมีพลัง- งานสูงและชอบที่จะไปจับคู่ ซึ่งการหาคู่นี้ทำให้เกิดการทำลายอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้น แล้วใส่จานทิ้งไว้บนโต๊ะ โดยไม่มีอะไรปิดสักครู่ เนื้อแอปเปิ้ลก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลหรือถ้าวางแท่นเหล็กไว้กลางฝนก็จะมีสนิมเกิดขึ้นเหล่านี้เกิดจากการทำลายของอนุมูลอิสระนั้นเองที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสของเนื้อแอปเปิ้ล และทำให้เหล็กเป็นสนิม และยังทำอันตรายให้แก่ ร่างกายของเรา ได้อีก ด้วยอนุมูลอิสระมาจากไหนและมีผลทำลายอะไรบ้างโดยปกติอนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นตลอดเวลาในร่างกายจากการหายใจจากขบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย ซึ่งเราเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) จากความเครียดหรือจากสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ ไอเสีย
ของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม สารกันบูดในอาหาร จากยาบางชนิดและรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตในแสงแดด ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นก่อให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นที่บริเวณผิวหนัง และทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ข้างเคียง ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพหรือตายเร็วกว่าปกติ จึงทำให้แก่ก่อนวัย ถ้ามีอนุมูลอิสระมากจะก่อให้เกิดโรคแห่งความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ และต้อกระจกเป็นต้นนอกจากนี้ยังพบว่าคนที่สูบบุหรี่ตากแดดเป็นประจำ และมีความเครียดจะแก่เร็วกว่าวัย

ปัจจัยอะไรบ้างที่เร่งการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย

1. การสูบบุหรี่, การดื่มเหล้า และชา กาแฟ
2. การรับประทานอาหารไหม้เกรียม
3. ความเครียด
4. การตากแดดเป็นประจำ
5. มลภาวะ เช่น การได้รับสารปรอท ตะกั่วจากไอเสียรถยนต์ ยาฆ่าแมลง สารกันบูด

เราสามารถป้องกันตัวเองจากอนุมูลอิสระจากการศึกษาพบว่าอนุมูลอิสระบางชนิดนั้นไม่เป็นอันตรายและเซลล์เม็ดเลือดขาวใช้อนุมูลอิสระเหล่านี้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเซลล์มะเร็ง แต่ถ้ามีอนุมูลอิสระมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการมาก ร่างกายของเราจะผลิตเอน์ไซมบางชนิดซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์เอนไซม์เพื่อป้องกันอนุมูลอิสระ แต่อย่างไรก็ตามพบว่าถึงแม้จะมีการสร้างแอนตี้ออกซิแดนท์ - แอนไซม์ขึ้นก็ไม่เพียงพอ ร่างกายยังต้องการแอนตี้ออกซิแดนท์ซึ่งได้แก่ วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอีไบโอฟลาโวนอยด์ และ เกลือแร่เช่น ซีลีเนียม แมงกานีส ทองแดง สังกะสี และโมลิบดินัมอีกด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์มีอะไรบ้าง

สารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มของ แอนตี้ออกซิแดนท์ มีดังนี้

1. วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน (Vitamin A and Beta Carotene)
2. วิตามินซี และไบโอฟลาวานอยด์ (Vitamin C and Bioflavanoids)
3. วิตามินอี (Vitamin E)
4. ซีลีเนียม (Selenium)
5. สารประกอบอื่น ๆ เช่น โคเอนไซม์คิวสิบ ซีสเตอีน เมลาโทนิน เป็นต้น

แอนตี้ออกซิแดนท์ อาจใช้สัญลักษณ์ "ACES" ซึ่ง A-C-E ก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ประกอบด้วย วิตามินเอในรูปเบต้าแคโรทีน วิตามีนซี และวิตามินอี แอนตี้ ออกซิแดนท์ กับการป้องกันและรักษาโรคทุก ๆ วัน เซลล์ในร่างกายของมนุษย์จะถูกทำลายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ซึ่งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่สามารถก่อให้เกิดพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อ และอวัยวะได้เพราะอนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับสารประกอบของเซลล์ร่างกายได้แก่ กรดนิวคลีอิก โปรตีนกรดอะมิโนอิสระ ไขมันคาร์โบไฮเดรต เป็นต้น ทำให้กลไกต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติอนุมูลอิสระเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดโรคและความชรา ฉะนั้นเพื่อป้องกันอันตรายจากสารประเภทนี้ จึงมีการทดลองใช้ วิตามินเพื่อต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เพื่อชะลอความชราและเพื่อลดความเสี่ยงต่อ โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ และมะเร็ง เป็นต้น บทบาทของแอนตี้ ออกซิแดนท์ ต่อโรคมะเร็งขบวนการออกซิเดชั่นสามารถทำ
ให้เกิดโรคมะเร็งและกระตุ้นให้เนื้องอกโตขึ้นได้นอกจากนี้ยังมีผู้ศึกษาพบว่า อนุมูลอิสระอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากอนุมูลอิสระเป็นสาเหตทำให้เซลล์กลายพันธุ์ และกระตุ้นให้เซลล์มีการแบ่งตัวมากขึ้น จากการศึกษาพบว่า A-C-E ซึ่งเป็น แอนตี้ออกซิแดนท์สามารถช่วยยับยั้งหรือลด -อัตราการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิดได้ เนื่องจาก A-C-E สามารถทำลายอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ทำลายสารก่อมะเร็งได้
บทบาทของแอนตี้ ออกซิแดนท์ ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดปัจจุบันพบว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประชากรโลก ซึ่งจากการศึกษาเชื่อกันว่าอนุมูลอิสระสามารถทำปฏิกิริยากับไขมันในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในรูปของไลโปโปรตีนชนิด LDL (Low Density Lipoprotein ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดี) ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) และโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้จากการศึกษาพบว่า A-C-Eสามารถลดอุบัติการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดย A-C-E สามารถที่จะยับยั้งการรวมตัวกับออกซิเจนของ LDL ได้ ทำให้ LDL ไม่สามารถจับตัวกับอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ A-C-E ยังมีผลทำให้ HDL (High Density Lipoprotein ซึ่งเป็นไขมันดี) สูงขึ้นได้ จึงลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้ บทบาทของแอนตี้ ออกซิแดนท์ ต่อการเสื่อมของเซลล์ (ความชรา) จากรายงานพบว่า A-C-E สามารถป้องกันโรคและมีความสัมพันธ์กับความชรา เพราะ A-C-E ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์มี
คุณสมบัติบางประการที่สามารถป้องกันผนังเซลล์มิให้ทำปฏิกิริยารวมตัวกับออกซิเจนจนเกิดการถูกทำลายได้ ทำให้ไม่เกิดอนุมูลอิสระซึ่งมีผลทำให้สามารถชะลอความเสื่อมและความชราได้

ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข และ www.maproud.com

เวชสำอางค์ — เครื่องสำอางค์ ต่างกันอย่างไรเลือกใช้อะไรดีกว่ากัน?

บทความดีๆ จาก www.sinfah.com ครับ เลยเอามาให้อ่านกัน
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นแพทย์หญิง ชอบแต่งหน้าแต่งตัวมากตั้งแต่สมัยที่เรียนแพทย์ จนเมื่อ 4 - 5 ปีที่แล้ว ได้พบกันในงานเลี้ยงรุ่น ดูเธอสวยขึ้นมาก ทั้งผิวพรรณและหน้าตาก็เรียวสวย แตกต่างจากเมื่อสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์เลย ถามไถ่กันมา เธอก็เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวยี่ห้อดังๆ มา 10+ ปี แทบจะไม่เห็นเปลี่ยนเลย พอมาเปิดคลินิกความงามและลองใช้พวกเวชสำอางดู เธอเอ๊ย... 1 - 2 สัปดาห์ก็เห็นผลแล้ว!"
นี่คือความแตกต่างระหว่าง เครื่องสำอางและเวชสำอางค์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ทำไมคลินิกความงามจึงมีคนเข้ามารักษาผิวหน้ากันมากมาย ซึ่งเราจะแยกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ เพื่อให้คุณมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
กลุ่มเครื่องสำอาง และ กลุ่มเวชสำอาง

กลุ่มเครื่องสำอาง
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมกันมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วเครื่องสำอางมีความแตกต่างจากเวชสำอางค์อย่างไร?
ราคา
เครื่องสำอางจัดเป็นผลิตภัณฑ์ ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ได้รับความนิยมในตลาดทั่วประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงเน้นที่ราคาถูก เพื่อให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงสินค้าได้ง่าย มีจำหน่ายทั่วไป และเราจะเห็นโฆษณาสินค้าได้ในทุกสื่อ โดยเฉพาะทางทีวี
หาซื้อได้ง่าย
เนื่องจากเป็นสินค้าเพื่อคนส่วนใหญ่และมีราคาถูก ผู้ผลิตจึงต้องวางสินค้าทั่วประเทศ
ประสิทธิภาพ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่บรรดาเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทุกคนกลัวก็คือ ภาพลักษณ์ของสินค้า โดยเฉพาะการแพ้หรืออาการข้างเคียงจากการใช้ ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตเหล่านี้ จึงไม่กล้าใส่สารออกฤทธิ์ที่สำคัญในปริมาณเข้มข้น
เพราะอะไร? ...
เพราะว่า... ถ้าเมื่อไหร่ที่มีคนใช้และเกิดอาการหน้าแดง คันหรือบวม (เพียงแค่ 1 คน) ก็ตาม และถ้าเรื่องนี้หลุดเข้ามาเป็นข่าว ข่าวนี้ก็จะแพร่ออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว และคนส่วนใหญ่จะรับรู้ข่าวในด้านลบ ถึงข่าวที่ออกไปจะไม่เป็นเรื่องจริง หรือถ้าจริงก็ตามและมีการต่อสู้เป็นคดีความ ในท้ายที่สุดเจ้าของผลิตภัณฑ์ก็จะชนะคดีความ (เพราะการแพ้หรืออาการข้างเคียง มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอกับทุกคน) แต่คนส่วนใหญ่จะกลัวไว้ก่อน
นี่คือสิ่งที่เจ้าของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้กลัวกันมาก และเรื่องนี้ ก็เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อหลายปีก่อนกับผลิตภัณฑ์ทาหน้าอกตัวหนึ่ง ซึ่งดังมากเมื่อ 10 กว่าปีที่
ผ่านมา แต่พอมีข่าวลบออกมาและเป็นคดีความอยู่หลายปี ในท้ายที่สุดบริษัทนี้ก็ชนะคดี แต่สินค้าก็ถูกถอนออกจากตลาดไปแล้ว เพราะขายไม่ได้
สรุป... ผู้ที่เสียหายมากที่สุด ก็คือ บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ทาหน้าอก ถึงแม้จะชนะคดีก็ตาม -- เป็นความเสียหายที่ประมาณค่าไม่ได้ทางธุรกิจ
ดังนั้น สินค้าในกลุ่มนี้จึงเห็นผลน้อยมากจากการใช้ ถึงแม้จะใช้เป็นประจำทุกวันก็ตามใช้ง่าย เนื่องจากมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ต่ำ จึงมีความปลอดภัยสูง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากผู้ใช้
กลุ่มเวชสำอาง

ราคา
เนื่องจากเป็นสินค้าที่ใช้แล้วออกฤทธิ์แรงและเห็นผลเร็ว เพราะผู้ผลิตใส่สารออกฤทธิ์ในความเข้มข้นสูง ซึ่งสารพวกนี้มีราคาสูง ทำให้ต้นทุนสินค้าจึงมีราคาสูงตามไปด้วย
ประสิทธิภาพ
อย่างที่บอกไปแล้วว่า เพราะมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญในความเข้มข้นสูง สินค้าจึงเห็นผลเร็ว จากการใช้เพียงไม่กี่ครั้ง

... และก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีความเข้มข้นสูง ก็ย่อมมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงหรือแพ้จากการใช้ได้ เป็นเรื่องธรรมดา
การใช้งาน
เนื่องจากมีความเข้มข้นสูง จึงต้องระมัดระวังในการใช้ ดังนั้นจึงต้องอยู่ในการดูแลของผู้ที่เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
สินค้าจึงมีจำหน่ายผ่านทางคลินิกแพทย์ความงามเป็นส่วนใหญ่ และตามศูนย์ดูแลให้คำปรึกษาของผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมดังจากต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็เป็นหลักพันขึ้นไป จนถึงหมื่น

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คุณคงต้องให้คำแนะนำกับลูกค้าของคุณว่า เขาต้องการผลลัพธ์แบบไหน ถ้าไม่กลัวเรื่องแพ้ และต้องการเห็นผลเร็ว ก็เลือกใช้เวชสำอาง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแจ้งให้คุณทราบก็คือ ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยี่ทางการแพทย์ และความงามได้เจริญก้าวหน้าจนเกือบจะมาบรรจบกัน
(จากเดิมที่วิ่งขนานกันมาตลอด) ซึ่งอีกไม่นาน พวกเราคงจะได้เห็นสินค้านวัตกรรมที่มีความปลอดภัยมากขึ้น และเห็นผลเร็ว ในราคาที่สมเหตุสมผล

เวชสำอางค์ ต่างกับ เครื่องสำอางค์อย่างไร?

คอสเมซูติคอล (Cosmeceutical) หรือเวชสำอางค์ถูกเลือกขึ้นมาเป็นทางเลือกหนึ่งของคนรักครีมบำรุงผิว เพราะเป็นครีมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างยาและเครื่ืองสำอางค์ ซึ่งจะออกฤทธิ์ได้ผลดีกว่าเครื่องสำอางค์แต่ไม่เกิดอาการระคายเคือง

คอสเมซูติคอลหรือเวชสำอางค์ตอนนี้ ถือว่าเป็น Today Generation หรือเทรนด์ที่กำลังมาแรงของวงการเครื่องสำอางค์ในปัจจุบัน และกำลังจะเข้ามาเป็นมาตรฐานของเครื่องสำอางค์ไปแล้ว เนื่องจากสมัยก่อน ครีมบำรุงผิวทั่วไปมักจะทำมาจากส่วนผสมของน้ำและน้ำมันแต่ต่อมาได้เพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงผิวต่างๆเข้ามาอย่าง "เวชสำอางค์" ก็จะเพิ่มสารออกฤทธิ์มีประสิทธิภาพสูงในปริมาณที่มากกว่าเครื่องสำอางค์ทั่วไป แต่ไม่ใช่ยาและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น ถ้าครีมบำรุงผิวทั่วไปมี AHA 0.1% ในเวชสำอางค์ก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่า แต่ไม่สามารถใส่ความเข้มข้นเท่ากับที่แพทย์ใช้ได้ เนื่องจากการรักษาที่ใช้สารออกฤทธิ์ที่สูง มักจะต้องอยู่ในตวามดูแลของแพทย์เท่านั้น ในต่างประเทศ คอสเมซูติคอลหรือเวชสำอางค์เป็นที่นิยมกันมาก เนื่องจากได้ผลดีมากกว่าเครื่องสำอางค์ทั่วไปแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเหมือนกับใข้ครีมบำรุงผิว เมื่อก่อนนั้นเราอาจจะคิดว่าต้องเป็นครีมแพงๆเท่านั้นถึงจะบำรุงผิวได้ดี แต่มันขึ้นอยู่กับว่าครีมตัวนั้นๆเหมาะกับผิวของเรารึเปล่า บางคนใช้ครีมยี่ห้อดังมากๆ แต่ใช้แล้วไม่ดีขึ้น หรือไม่ก็หน้าแย่ลงกว่าเดิม ถามว่าครีมนั้นไม่ดีหรือไม่? คำตอบคือไม่ใช่ แต่มันอาจจะเหมาะกับผิวบางคนเท่านั้น

ปัจจุบันกระแสเวชสำอางค์ตอนนี้กำลังมาแรงแซงโค้งครีมดังหลายแบรนด์ เนื่องจากใช้แล้วได้ผลดี แก้ปัญหาได้ตรงจุด และไม่เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง แถมราคายังสบายกระเป๋าเมื่อเทียบกับครีมยี่ห้อแบรนด์ดัง ดังนั้นเวชสำอางค์จึงเป็นที่นิยมในหมู่ดาราและสาวไฮโซ เพราะสามารถดูแลผิวอย่างต่อเนื่องและตรงจุด เช่น คนที่มีปัญหาหน้าหมองไม่กระจ่างใส ก็จะมีการใส่สารที่ออกฤทธิ์มากเป็นพิเศษ หรือคนที่มีริ้วรอยลึก หน้าไม่กระชับ ก็จะเน้นใส่สารช่วยเรื่องยกกระชับเป็นพิเศษ หลายคนถึงแม้จะไม่มีเวลาทรีตเมนท์ แต่ถ้าใช้เวชสำอางค์ก็จะอุ่นใจในระดับหนึ่ง ซึ่งดาราและไฮโซส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวลาบำรุงผิวจึงเทใจให้ "เวชสำอางค์" เป็นจำนวนมาก

ที่มา: http://www.guruprince.com/

www.maproud.com